“เดอะ คอฟฟี่ คลับ”เผยภาพรวมการแข่งขันตลาดร้านกาแฟยังเดือด ราคาวัตดิบยังมีความท้าทาย พร้อมแบกรับภาระตรึงราคาสินค้า คาดปี 67 รายได้รวมโต 9% แย้มแผนปี 68 เล็งผุด“เดอะ คอฟฟี่ คลับ”อีกอย่างน้อย 4-5 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยว พร้อมขยายแฟรนไชส์ครั้งแรกในต่างประเทศ นำร่องเมืองเวียงจันทน์ สปป.ลาว ล่าสุดเปิดตัวสาขาที่ 42 MDCU แห่งแรกในรพ.รัฐ ณ อาคารหอสมุด คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิเศษบุคลากรทางการแพทย์ได้รับส่วนลด 20% ในทุกแก้ว และพร้อมเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ในวันที่ 23 ธ.ค.67
นางนงชนก สถานานนท์ ผู้จัดการทั่วไป “เดอะ คอฟฟี่ คลับ”ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท เอ็มเอฟ คาเฟ่ แอนด์ เรสเตอรองต์ จำกัด เปิดเผย ถึงภาพรวมการแข่งขันตลาดร้านกาแฟในปัจจุบันว่า ยังมีการแข่งขันที่สูง แต่ในส่วนของ “เดอะ คอฟฟี่ คลับ” จะเน้นในเรื่องของสมาชิก แต่ในเรื่องของวัตถุดิบก็ยังมีความท้าทาย จึงทำให้ราคาค่อนข้างสูง โดย “เดอะ คอฟฟี่ คลับ” (The Coffee Club) พยายามที่จะแบกรับราคาไว้ด้วยการตรึงราคาเครื่องดื่มไว้ให้ได้นานที่สุด อย่างไรก็ตามภาพรวมในปี 2566 ต่อเนื่องปี 2567 คาดว่ารายได้จะโตที่ประมาณ 9% และอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการตัดร้าน “เดอะ คอฟฟี่ คลับ”ที่ขาดทุนออกไป จากเดิม 70 สาขา เหลือ 30 สาขาในช่วงวิกฤติโควิด-19 และปัจจุบันมีทั้งหมด 42 สาขา แบ่งเป็นในพื้นที่กทม. 22 สาขา,ต่างจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยว 19 สาขา และหลวงพระบาง 1 สาขา
สำหรับปี 2568 มีแผนจะเปิด“เดอะ คอฟฟี่ คลับ”อีกอย่างน้อย 4-5 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยว อาทิ พัทยา และ ภูเก็ต โดยในไตรมาส 1/2568 จะเปิดตัว “เดอะ คอฟฟี่ คลับ”ที่เป็นร้านให้บริการ 24 ชั่วโมง ในพื้นกรุงเทพฯอีก 1 สาขา แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ นอกจากนี้ยัง มีแผนที่จะ ขยายรูปแบบแฟรนไชส์และเป็นสาขาในต่างประเทศ คือ ที่เวียงจันทน์ สปป.ลาว เป็นครั้งแรก ซึ่งจะเปิดตัวในปีหน้าเช่นกัน จากที่ก่อนหน้านี้ได้ไปเปิดสาขาที่เมืองหลวงพระบางมาแล้ว รวมถึงมีแผนที่จะรีโนเวทสาขาต่างๆด้วย ซึ่งจะใช้งบประมาณทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท
ส่วนในปี 2567 ได้เปิดตัวทั้งหมด 4 สาขา คือ สาขา AIA ถ.สุรวงศ์ ,สาขาเซ็นทรัล พัทยา,สาขา Glow Mim Karon Beach และสาขา MDCU โดยแต่สาขาที่มีแต่เครื่องดื่มจะใช้งบลงทุนสาขาละ 6 ล้านบาท หากมีอาหารด้วยจะก็ใช้งบลงทุนประมาณ 8 ล้านบาท/สาขา
สำหรับสาขา MDCU นั้นตั้งอยู่ที่อาคารหอสมุด คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือเป็นสาขาที่ 42 ล่าสุดของ “เดอะ คอฟฟี่ คลับ”และเป็นสาขาที่ 2 ที่ตั้งอยู่ในโรงพยาบาลรัฐบาล โดยสาขาในโรงพยาบาลแห่งแรกที่คือโรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล บนพื้นที่ทั้งหมด 140 ตารางเมตร สามารถรองรับได้ถึง 60 ที่นั่ง มาพร้อมความพิเศษมากมาย ตั้งแต่เดินเข้าร้านที่ทุกคนจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศความผ่อนคลาย แต่ให้ความรู้สึกทันสมัยสบายตาอย่างมีระดับซึ่งผสานการออกแบบที่สะท้อนแนวคิดความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างกลมกลืนทั้งการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์และวัสดุที่ผ่านกระบวนการรีไซเคิลและอัพไซเคิล (Upcycle) เช่น โต๊ะและที่นั่งภายในร้านที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิลจากโรงงานอุตสาหกรรม หรือ ฟอยล์จากบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มที่ผ่านการใช้งาน รวมถึง ฝุ่นไม้เหลือทิ้งจากโรงงานเฟอร์นิเจอร์ เก้าอี้ที่ทำจากแผ่นไวนิลเก่าที่ถูกนำมาแปรรูปใหม่ ตลอดจนเคาน์เตอร์ชงกาแฟอันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำขึ้นจากเยื่อกาแฟเหลือจากกระบวนการคั่วสำหรับชงเอสเปรสโซ่กว่า 1,200 แก้ว และพลาสติกรีไซเคิลจำนวน90 กิโลกรัม เป็นต้น สะท้อนความคิดสร้างสรรค์และช่วยลดขยะจากการผลิตอย่างเห็นผล ทำให้สาขานี้ไม่เพียงมอบความสวยงามและความสะดวกสบายเท่านั้นแต่ยังสอดแทรกการสร้างประสบการณ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับลูกค้าเมื่อเข้ามาใช้บริการอีกด้วยควบคู่ไปกับการนำเสนอเมนูเครื่องดื่มให้เลือกจุใจกว่า 40 รายการ พร้อมเมนูขนมหวานและเมนูเพื่อสุขภาพอีกกว่า 30 รายการ เพื่อตอบสนองลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในพื้นที่โรงพยาบาลที่มีความต้องการเฉพาะทั้งนักศึกษา บุคลากรทางการแพทย์ ที่ต้องการอาหารและเครื่องดื่มที่รวดเร็วและมีคุณภาพสำหรับช่วงเวลาที่ค่อนข้างจำกัด หรือผู้มาใช้บริการในโรงพยาบาลอย่างครอบคลุม โดยสาขาดังกล่าวจะมีความพิเศษ คือหากเป็นบุคลากรทางการแพทย์ จะได้รับส่วนลด 20% เหลือแก้วละ 48 บาท จากราคาเริ่มต้นที่ 60 บาท ซึ่งได้เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา มีผู้มาใช้บริการประมาณ 400-500 คน/วัน แบ่งเป็นลูกค้าทั่วไป สัดส่วน 40%,บุคลากรทางการแพทย์ สัดส่วน 30% และนักศึกษาแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สัดส่วน 30% และจะเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ในวันที่ 23 ธันวาคม 2567 ถือเป็นสาขาที่ 2 จากก่อนหน้านี้มี “The Coffee Club Staybridge Thonglor” เป็นสาขาแรกที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง
ในขณะที่ตลอดทั้งปี 2567 “เดอะ คอฟฟี่ คลับ” ยังมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า ผ่านกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น การชูจุดเด่นผู้นำด้านกาแฟตามแบบฉบับออสเตรเลีย ด้วยการนำเสนอเมล็ดกาแฟซิกเนเจอร์ใหม่ล่าสุด ที่ผสมผสานเอกลักษณ์จาก 3 แหล่งปลูกกาแฟชั้นนำระดับโลก ได้แก่ บราซิล โคลอมเบีย และอินเดีย เหมาะสำหรับการชงในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นกาแฟดำ หรือกาแฟนม ตอบโจทย์คอกาแฟ อีกทั้งยังมีเมนูอาหารที่เลือกทานได้ตลอดทั้งวัน การส่งมอบประสบการณ์ในการรับประทานอาหารผ่านการรังสรรค์เมนูและเครื่องดื่มใหม่ตลอดทั้งปี เช่น เมนู Blue & The Bowl ที่สะท้อนกลยุทธ์ตอบรับกระแสเมนูสุขภาพและเทรนด์น้ำปั่นในปัจจุบัน ด้วยสมูทตี้สีฟ้าจากผงสาหร่ายสไปรูริน่าและเมนูถ้วยผลไม้ที่อัดแน่นด้วยสารอาหารครบถ้วน ตลอดจนเน้นการสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าสมาชิกด้วยแคมเปญทางการตลาด รวมถึงมอบโปรโมชันสุดพิเศษเฉพาะสมาชิกเท่านั้น ทำให้ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกอยู่ที่ 240,000 ราย จากการดำเนินกลยุทธ์ทั้งหมดนี้ทำให้ภาพรวมเดอะ คอฟฟี่ คลับ มีการเติบโตกว่า 9% สะท้อนภาพลักษณ์ร้านออลเดย์ไดน์นิ่งชั้นนำที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคทั้งชาวไทยและต่างชาติที่มอบโมเมนต์ดีๆ ได้ทุกวันทุกโอกาส