ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 32.96 บาท/ดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” กรุงไทย มองกรอบวันนี้ 32.85-33.05 บาท/ดอลลาร์ รอประเมินแนวโน้มนโยบายการเงิน ECB และลุ้นตัวเลขส่งออก-นำเข้าของไทยเดือนสิงหาคม
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.96 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย (กรอบการเคลื่อนไหว 32.88-33.02 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำยังคงสามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (All-Time High) ท่ามกลางความหวังการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด (ผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้อีกราว -75bps ในอีกสองการประชุมที่เหลือในปีนี้) รวมถึงความต้องการถือทองคำในช่วงสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังคงร้อนแรงอยู่ ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามจังหวะการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อสกุลเงินหลัก (Cross THB) อาทิ เงินเยนญี่ปุ่น (JPYTHB) หลังในช่วงนี้ เงินเยนญี่ปุ่นได้ทยอยอ่อนค่าลงมาพอสมควร เมื่อเทียบกับเงินบาท (JPYTHB ต่ำกว่า 23 บาท/100 เยน)
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) เดือนกันยายน รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB
ส่วนทางฝั่งเอเชีย ในส่วนนโยบายการเงินนั้น ตลาดประเมินว่า ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.35% จนกว่าจะมั่นใจแนวโน้มการชะลอตัวของเงินเฟ้อ ส่วนทางฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของผู้ว่าฯ BOJ หลังล่าสุด BOJ ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนในการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOJ จะกลับมาขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้อีกครั้งในช่วงกลางปีหน้าเป็นต้นไป
สำหรับในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports & Imports) เดือนสิงหาคม ว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องได้หรือไม่ ในส่วนของยอดการส่งออก ซึ่งจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
และในฝั่งสหรัฐฯ ประเด็นสำคัญจะอยู่ที่ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย Conference Board ในเดือนกันยายน
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ไปก่อน เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเงินบาทจะมีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เมื่อตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า มีความเสี่ยงที่ตลาดอาจต้องปรับลดมุมมองต่อการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดบ้าง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ นับจากนี้ไป ไม่ได้ออกมาเลวร้ายนัก หรือ ออกมาดีกว่าคาด ทำให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้บ้าง
อนึ่ง ในช่วงระหว่างวัน เราประเมินว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า ตามแรงขายทำกำไรสินทรัพย์ไทยของบรรดานักลงทุนต่างชาติบ้าง โดยเราเริ่มเห็นการปรับลดสถานะ Net Long THB (มองเงินบาทแข็งค่า) ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ผ่านการทยอยขายบอนด์ระยะสั้น ส่วนในฝั่งหุ้นก็เริ่มเห็นความเสี่ยงที่ดัชนี SET อาจเข้าสู่ช่วงพักตัวในระยะสั้น ตามที่เราประเมินไว้ในวันจันทร์ นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาก็ทำให้บรรดาสกุลเงินหลัก (Cross THB) อ่อนค่าลงพอสมควร เช่น เงินเยนญี่ปุ่น (JPYTHB) เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเข้าซื้อบรรดาสกุลเงินดังกล่าวได้บ้าง กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง ทั้งนี้ เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดแถวโซนแนวต้าน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ตราบใดที่ราคาทองคำยังคงได้รับแรงหนุนและสามารถทยอยปรับตัวขึ้นได้
เรายังคงมองว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หรือ การปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.85-33.05 บาท/ดอลลาร์