หลังจากที่ นายฉาย บุนนาค รักษาการประธานกรรมการบริหาร บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA ได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ถึงการได้มาและจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ของบริษัท เรื่อง การปรับโครงสร้างและการเข้าลงทุนในธุรกิจอาหารในการประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 5/2567 เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยมีสาระสำคัญคือ จัดตั้งทำธุรกิจร้านอาหาร ร่วมกับ บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด และ นายปิยะเลิศ ใบหยก (เบียร์ ใบหยก) มีหลายแบรนด์ จาก 4 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย 1.กลุ่มสเต๊ก 2.กลุ่มอาหารไทย 3.กลุ่มอาหารญี่ปุ่น และ 4.กลุ่มราเมน รวม 204 สาขา ได้แก่
- Santa Fe, Santa Fe Easy, เหม็ง แซ็ปนัว จำนวน 142 สาขา
- Sekai no Yamachan จำนวน 10 สาขา
- ส้มตำ เจ๊แดง สามย่าน จำนวน 42 สาขา
- ราเมงเดส, อิคโคฉะ ราเมน และ อุชิดายะ ราเมน จำนวนรวม 10 สาขา
โดยคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้รวมกันประมาณกว่า 1,700 ล้านบาท สรุปทุนจดทะเบียนหลังจัดโครงสร้างรวม 2,500 ล้านบาท โดย AQUA ถือหุ้นสัดส่วน 51%สร้าง Synergy ร่วมกับพันธมิตรที่แข็งแรง บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด ในเครือ สิงห์ คอร์เปอเรชั่น สัดส่วน 40% และ นายปิยะเลิศ ใบหยก สัดส่วน 9% โดยกระบวนการจัดโครงสร้างเพื่อเป็นไปตามแผนข้างต้นจะมีหลายขั้นตอน และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2567 สำหรับแหล่งเงินทุนของ AQUA จะมาจาก 3 ส่วน ได้แก่ 1.กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน, 2.เงินสดจากการการขายเงินลงทุนบางส่วน และ 3.การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน
และในวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา นายฉาย บุนนาค รักษาการประธานกรรมการบริหาร บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA เปิดเผยว่า ได้ทำการเปิดตัวบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อบริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮลดิ้ง จำกัด (FAB) ที่ดำเนินธุรกิจร้านอาหารร่วมกับบริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด และนายปิยะเลิศ ใบหยก (เบียร์ ใบหยก) เปิดตัว “FAB” ซึ่งได้รวม 8 แบรนด์อาหารดัง ได้แก่ Santa Fe, Santa Fe Easy, เหม็ง แซ็ปนัว, Sekai no Yamachan, ส้มตำเจ๊แดง สามย่าน, ราเมงเดส, อิคโคฉะ ราเมน และ อุชิดายะ ราเมน มาไว้ภายใต้ร่มคันเดียวกัน
“โดยชื่อ บริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง จำกัด (“FAB”) เกิดจากความร่วมมือกันของ 3 บริษัทผู้มี passion ด้านอาหาร ได้แก่ F = Food Factors บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด, A = AQUA บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ B = คุณเบียร์ ปิยะเลิศ ใบหยก รองประธานกลุ่มโรงแรมใบหยก, CEO บริษัท บีเอ็นเอฟ โฮลดิ้ง จำกัด และบริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง จำกัด (FAB) ด้วยทั้ง 3 พาร์ทเนอร์ต่างมีเป้าหมายเดียวกันและมีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจอาหารเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งมองว่าการทำ Synergy ร่วมกันในครั้งนี้จะผลักดันให้กลุ่ม AQUA ในฐานะ Investment Company สามารถสร้างแหล่งรายได้จากประเภทธุรกิจอาหารได้มากขึ้น และเรามั่นใจด้วยว่าการได้ร่วมงานกับทีมที่มีประสบการณ์ รวมถึงได้รับเกียรติจากคุณเบียร์ ปิยะเลิศ ใบหยก หรือ เบียร์-ใบหยก มานำทัพเป็น CEO ของ FAB เอง จะทำให้ FAB เป็นส่วนผสมที่ลงตัว ถ้าเทียบกับอาหารจานหนึ่งแล้ว ผมคอนเฟิร์มว่าจะต้องเป็นเมนูที่อร่อย จัดจ้าน ทานได้ไม่เบื่อ และได้การการันตีรางวัลจากนักทานอย่างแน่นอน” นายฉาย กล่าว
นายฉาย กล่าวเพิ่มเติมว่า มั่นใจว่าการลงทุนครั้งนี้ จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้น AQUA จากผลการดำเนินงานที่คาดว่าจะเติบโตได้ตามแผนธุรกิจที่วางไว้ อีกทั้ง การตัดสินใจนี้ นับเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองให้กับบริษัท ทั้งนี้ปัจจุบันร้านอาหารในแต่ละแบรนด์มีผลกำไรอยู่แล้ว การรวมกันก็จะทำให้เกิดความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้นอีก จากการมีอำนาจในการซื้อวัตถุดิบที่ต้นทุนต่ำลง
สำหรับรายได้ของ AQUA ในปี 2567 คาดว่าอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้จะมาจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 924.18 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 1/2567 บริษัทมีรายได้รวมแล้วที่ 232.05 ล้านบาท ขณะที่งบไตรมาส 2/2567 จะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่ออนุมัติงบในช่วงระหว่างวันที่ 13-15 สิงหาคม 2567 นี้
ส่วนในปี 2568 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้รวมที่ระดับกว่า 2,000 ล้านบาท โดยจะมาจาก 1.กลุ่มธุรกิจอาหาร ซึ่งจะมีสัดส่วนรายได้ที่ประมาณ 60-70% ของรายได้รวม
2.กลุ่มธุรกิจคลังสินค้า จะมีสัดส่วนรายได้ที่ประมาณ 15%
3.กลุ่มธุรกิจขนส่ง (โลจิสติกส์) จะมีสัดส่วนรายได้ทีประมาณ 15% ซึ่งทุกกลุ่มธุรกิจจะเกิดการ Synergy ร่วมกัน ทำให้ต้นทุนลดลง ความสามารถในการทำกำไรจะเพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ AQUA ยังเตรียมออกหุ้นกู้ชุดใหม่มูลค่า 600 ล้านบาท คาดอัตราดอกเบี้ย 7 - 7.25% โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) พิจารณา คาดจะออกขายลูกค้าเฉพาะกลุ่มได้ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้บริษัทได้จ่ายคืนหุ้นกู้เดิมจำนวน 629 ล้านบาท ครบทั้งจำนวนให้กับผู้ลงทุนแล้ว จึงมั่นใจได้ว่าบริษัทมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง
นายภูริต ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่าแนวทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบุญรอดฯ ตลอดระยะเวลากว่า 90 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม คือ “คุณภาพ” ต้องดีที่สุดเท่านั้น เพื่อส่งมอบสินค้าคุณภาพให้แก่ผู้บริโภค บริษัทฯมองเห็นโอกาสในการพัฒนายกระดับสินค้าและบริการในกลุ่มร้านอาหาร ภายใต้บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด ให้ดียิ่งกว่าเดิม จึงร่วมมือกับบริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และนายปิยะเลิศ ใบหยก หรือเบียร์ ใบหยก ซึ่งเป็นทั้งรองประธานกลุ่มใบหยก และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท บีเอ็นเอฟ โฮดิ้ง จำกัด โดยจะนำความถนัดและจุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาผนึกกำลังกัน เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการ รวมถึงประสบการณ์ที่ดี ให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุด นั่นเป็นที่มาของความร่วมมือในครั้งนี้
ด้าน นายปิยะเลิศ ใบหยก (หรือ เบียร์ ใบหยก) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง จำกัด (FAB) กล่าวว่า กลุ่มเป้าหมายหลักของ FAB จะเน้นที่กลุ่ม Young generation ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีอิทธิพลมากที่สุดในตลาดปัจจุบัน เพราะมีการตัดสินใจที่เฉียบขาด กล้าที่จะใช้จ่ายกับสินค้าและการบริการที่คิดว่าตอบโจทย์ความต้องการของตัวเอง และในขณะเดียวกันก็คงรักษาฐานลูกค้าเก่าไว้ด้วย เราพยายามหาจุดเด่นของตัวเอง เพื่อเจาะเข้าถึงตัวลูกค้าได้และต้องเป็นผู้นำทุกเทรนด์ ที่สำคัญคือความจริงใจต้องมาก่อน จึงจะสามารถครองใจผู้บริโภคได้
และในปี 2568 บริษัทฯยังมีแผนที่จะเปิดตัวแบรนด์ใหม่ เพื่อดำเนินธุรกิจอาหารปิ้งย่าง จากประสบการณ์ที่เคยดำเนินธุรกิจเนื้อย่างมาก่อนประมาณ 15 ปี และได้ขายแบรนด์ให้กับกลุ่มทุนชาวญี่ปุ่นไปแล้ว ซึ่งแบรนด์ปิ้งย่างใหม่ที่จะเปิดตัวในปีหน้านั้น จะเป็นการสร้างแบรนด์เองร่วมกับสตาฟชาวญี่ปุ่น ซึ่งจะส่งผลให้ในปี 2568 บริษัทฯมีแบรนด์ร้านอาหารรวมทั้งสิ้น 9 แบรนด์ รวมไปถึงจะขยายสาขารวมทั้งหมดให้ได้ 250 สาขา
อีกทั้งในปี 2568 บริษัทฯยังมีแผนที่จะเปิดแฟลกชิปสโตร์ เพื่อเป็นการรวมร้านอาหารทุกแบรนด์ไว้ในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งจะเริ่มที่ย่านทาวน์อินทาวน์ บนพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาเรื่องการเช่าที่ดิน จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
นอกจากนี้ในปีหน้า บริษัทฯยังมีแผนขยายแบรนด์ “ส้มตำ เจ๊แดง สามย่าน”ไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดด้วย โดยจะใช้ในพื้นที่เดียวกับ Santa Fe ซึ่งในระยะแรกจะเน้นขยายเองมากกว่าขายแฟรนไชส์ โดยจะเปิดตัวเดือนละประมาณ 1 สาขา นอกจากนี้ยังมีพันธมิตรจากประเทศ ญี่ปุ่น และประเทศในภูมิภาค Asean Economics Community(AEC) ประกอบด้วย ไทย, เมียนมา, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา และ บรูไน ให้ความสนใจที่จะนำแบรนด์ “ส้มตำ เจ๊แดง สามย่าน” ไปทำตลาดด้วยเช่นกัน แต่ทั้งนี้ขอสร้างหลังบ้านให้แกร่งก่อนจึงค่อยกลับมาพิจารณาอีกครั้ง
“การรวมตัวของ 3 พันธมิตรในครั้งนี้ ทำให้เรามีการใช้หลังบ้านร่วมกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีใจที่สุด เพราะทำให้ลดฟู้ดคอร์ทไปได้ประมาณ 2-3%”นายปิยะเลิศ กล่าว
นายวรภัทร ชวนะนิกุล Chief Financial Officer บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด และกรรมการ บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันฟู้ด แฟคเตอร์ มีร้านอาหาร 3 แบรนด์หลัก ที่ให้บริการมายาวนานจนได้รับความนิยมจากผู้บริโภค ได้แก่ ซานตาเฟ่, ซานตาเฟ่ อีซี่ และเหม็ง แซ็ปนัว ซึ่งแต่ละแบรนด์มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเฉพาะ โดยมีความเชี่ยวชาญอาหารตะวันตกอย่างสเต๊กและอาหารอีสานซึ่งมีตลาดที่ชัดเจนอยู่แล้ว การรวมกันในครั้งนี้จะช่วยต่อยอดการพัฒนาให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยยังคงรักษาหัวใจสำคัญในด้านคุณภาพของวัตถุดิบ และรสชาติความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์
ด้านนายชัยพิพัฒน์ แก้วไตรรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA กล่าวว่า AQUA เข้าสู่วงการอาหาร โดยเริ่มจากธุรกิจราเมง ซึ่งคือ “Ramen Desu” (ราเมงเดส) ที่เรามีอยู่เดิม ซึ่งปัจจุบันเรามีอยู่ 5 สาขา และมองว่า ธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่มั่นคง เติบโตตามการบริโภคอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอาหารเป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีวิต และมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจต่ำกว่า เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ แบรนด์ร้านอาหารที่ลงทุนครั้งนี้ เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียง ได้รับการปลุกปั้นมาอย่างดีจากทั้ง 2 พันธมิตรอีกทั้งทุกแบรนด์ยังเป็นที่รู้จัก เปิดมายาวนาน ซึ่งจะสามารถส่งเสริมในแต่ละส่วนของกันและกันได้ และจะสามารถนำสิ่งที่ดีให้แก่ผู้บริโภคได้