news-details
Business

เงินบาท"อ่อนค่าลง"เปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.24 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทพลิกกลับมาทยอยอ่อนค่า เปิดเช้านี้ 33.24 บาท/ดอลลาร์ "อ่อนค่าลง" กรุงไทย คาดในช่วง 24 ชั่วโมง จะอยู่ที่ระดับ 33.10-33.40 บาท/ดอลลาร์ รอติดตามถ้อยแถลงเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.24 บาท/ดอลลาร์ "อ่อนค่าลง" จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.09 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 33.04-33.26 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์รีบาวด์สูงขึ้น ตามจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงแรงขายทำกำไรสถานะ Short USD ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ซึ่งกดดันให้ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และเงินยูโร (EUR) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้าง (อย่างไรก็ดี ปริมาณธุรกรรมในตลาดถือว่าน้อยลงจากช่วงปกติ เนื่องจากเป็นวันหยุด Easter ของตลาดการเงินยุโรป) ทั้งนี้ แรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังราคาทองคำทยอยปรับตัวสูงขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กลับมาร้อนแรงขึ้น

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด และธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงิน ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความเสี่ยงที่การดำเนินงานของเฟด อาจถูกแทรกแซงจากการเมืองสหรัฐฯ ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดล่าสุด ยังคงประเมินว่า เฟดมีโอกาส 73% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยราว 4 ครั้ง ในปีนี้ ส่วน ECB มีโอกาสราว 55% ที่จะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 3 ครั้ง ในปีนี้

และนอกเหนือจากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลักดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผลประกอบการของหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ อย่าง Tesla (รับรู้รายงานผลประกอบการช่วง After Close)

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม และมีแนวโน้มแกว่งตัวในลักษณะ Sideways Up หลังเงินดอลลาร์มีจังหวะรีบาวด์ขึ้นมาบ้าง ตามการปรับสถานะ Short USD ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ขณะเดียวกัน เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม หากราคาทองคำเผชิญแรงขายมากขึ้น หลังทำจุดสูงสุดใหม่ โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off0 ทำให้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจต้องการเพิ่มสภาพคล่องและเลือกที่จะขายทำกำไรทองคำออกมาได้ คล้ายกับช่วงตลาดปั่นป่วนจากความกังวลมาตรการภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ซึ่งราคาทองคำก็ปรับตัวลดลงพอสมควร พร้อมกับตลาดหุ้นทั่วโลก นอกจากนี้ เรามีความกังวลว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง ราคาทองคำ กับเงินบาทอาจเปลี่ยนแปลงไป จากพฤติกรรมของผู้เล่นในตลาด เพราะหากผู้เล่นในตลาดเริ่มไล่ราคาซื้อทองคำ อาจจะด้วยสาเหตุที่ทยอยขายทำกำไรไปช่วงก่อนหน้าแล้ว กอปรกับความกังวลว่าราคาทองคำอาจพุ่งสูงขึ้นต่อ (Fear of Missing Out: FOMO) ก็อาจทำให้ ในจังหวะที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากโฟลว์ธุรกรรมไล่ราคาซื้อทองคำ (ซึ่งจะต่างจากที่ปกติ ผู้เล่นในตลาด มักจะรอจังหวะราคาทองคำย่อตัวลง ในการทยอยเข้าซื้อ หรือ เน้น Buy on Dip)

และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ในช่วงนี้ เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าไม่ยาก จากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ อีกทั้ง บรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ก็อาจยิ่งกดดันให้นักลงทุนต่างชาติบางส่วนทยอยขายสินทรัพย์ไทย อย่าง หุ้นไทย เพิ่มเติมได้

ทั้งนี้ เราประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยโซนแนวต้านจะติดอยู่แถว 33.30-33.40 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนรวรับยังคงอยู่ในช่วง 33.00-33.10 บาทต่อดอลลาร์

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.10-33.40 บาท/ดอลลาร์

You can share this post!