ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยออกหนังสือเรียกชี้แจงกรณี บมจ.เพียร์ ฟอร์ ยู (PEER) แสดงผลขาดทุนสุทธิ 164 ล้านบาทในงบการเงินปี 2567 โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญคือการบันทึกด้อยค่าค่าความนิยม (Goodwill Impairment) มูลค่าถึง 280 ล้านบาท หรือราว 39% ของมูลค่าการลงทุนในปีเดียวกัน
ดีลใหญ่ กลายเป็นดีลสะเทือน
ในปี 2567 PEER เดินเกมลงทุนครั้งใหญ่ ด้วยการเข้าซื้อกิจการ 3 บริษัท ได้แก่ PFA, HPS และ PPP รวมมูลค่า 725 ล้านบาท แต่ผลลัพธ์หลังดีลกลับน่ากังวล เมื่อ PFA และ HPS ถูกบันทึกด้อยค่าค่าความนิยมถึง 280 ล้านบาท ขณะที่ PPP ไม่สามารถประกอบธุรกิจภายใต้ใบอนุญาตเดิมได้
PFA: ลงทุน 565 ล้าน ด้อยค่าไปแล้ว 269 ล้าน
HPS: ลงทุน 150 ล้าน ด้อยค่าไปแล้ว 11 ล้าน
PPP: ลงทุน 10 ล้าน ขาดทุนทันที 1 ล้าน เพราะใบอนุญาตใช้งานไม่ได้
คำถามคือ ทำไมการประเมินศักยภาพก่อนลงทุนจึงผิดพลาดถึงเพียงนี้?
หนี้ที่ตามไม่เจอ และอนาคตที่ยังไม่ชัด
นอกเหนือจากดีลข้างต้น PEER ยังมีหนี้ที่ติดตามไม่ได้รวม 190 ล้านบาท ประกอบด้วย:
-เงินมัดจำโครงการโรงไฟฟ้าที่เวียดนาม 30 ล้าน
-ด้อยค่าลูกหนี้จากการขายหุ้นใน PSD 120 ล้าน
-เงินให้กู้ยืมแก่ XBIO ที่ถูกตั้งด้อยค่าไปแล้ว 40 ล้าน
สถานการณ์เหล่านี้ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกคำขอให้บริษัทชี้แจงปัจจัยที่นำไปสู่การด้อยค่าทั้งหมด รวมถึงนโยบายติดตามหนี้ และมาตรการป้องกันความเสี่ยงในอนาคต
รื้อโครงสร้าง สู่ Holding Company – สำเร็จหรือแค่ภาพฝัน?
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการเปลี่ยนสถานะจาก Operating Company ไปเป็น Holding Company ผ่านการขายกิจการ Call Center (OTP) ซึ่งภายหลังเปลี่ยนสถานะเป็น “บริษัทร่วม” แต่ PEER ยังต้องบริหารสัญญากับลูกค้าเดิมถึงปี 2569 ทำให้โครงสร้างใหม่ยังไม่สมบูรณ์
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ PEER เปิดเผยความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างนี้อย่างต่อเนื่อง พร้อมชี้แจงว่ามีบริษัทย่อยใดที่ทำหน้าที่ดำเนินธุรกิจหลักอยู่ในปัจจุบัน
นักลงทุนรอดูคำอธิบาย ก่อนตัดสินใจต่อ
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้เวลา PEER ถึงวันที่ 16 เมษายน 2568 ในการชี้แจงงบการเงิน และภายในวันที่ 22 เมษายน สำหรับความเห็นของคณะกรรมการบริษัท หากคำชี้แจงไม่ชัดเจนหรือขาดความน่าเชื่อถือ ความเชื่อมั่นจากนักลงทุนอาจสั่นคลอนต่อเนื่อง
คำถามสำคัญคือ PEER จะเปลี่ยนความผิดพลาดในอดีตเป็นบทเรียนได้หรือไม่ ก่อนที่ความเสียหายจะลุกลามไปไกลกว่าตัวเลขในงบดุล