news-details
Business

“พรพิไร นิจวิโรจน์” สบช่องประกาศขยายไลน์ธุรกิจ “ขายทรัพย์มือสอง”

หากพูดถึงงานบริหารการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะในช่วงปี 2535 ถือว่าเป็นยุคบูมของอสังหาฯเป็นอย่างมาก บริษัทบริหารงานขายโครงการก็ยังไม่มากและหลากหลายรูปแบบ เช่นในปัจจุบัน แต่พอเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ในช่วงปี 2540 ก็ส่งผลให้บริษัทบริหารงานขายล้มหายตายจาก ไปไล่ๆกับบริษัทอสังหาฯบางรายเช่นกัน ส่วนที่ยืนหยัดมาจนถึงปัจจุบันนั้นหาได้น้อยมาก

คร่ำหวอดบริหารงานขาย 18 ปี กว่า 30 โครงการ

และ “พรพิไร นิจวิโรจน์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะ พร็อพเพอร์ตี้ เอ. จำกัด ถือเป็นหนึ่งในผู้คร่ำหวอดในแวดวงการขายโครงการอสังหาฯริมทรัพย์มากกว่า 40 ปี เริ่มตั้งแต่โครงการ “บ้านราชธานี”ของกลุ่มวรรณพาณิช,โครงการรอยัล ริเวอร์ เพลส,โครงการซีทีที ทาวเวอร์,และทีมงานขายบริษัท ศรีนครแลนด์ จำกัด ของกลุ่มตระกูลเตชะไพบูลย์ หลังสั่งสมประสบการณ์มาอย่างโชกโชน ส่งผลให้ในปี 2548 ได้แยกตัวออกมาเปิดบริษัทเพื่อบริหารงานขายเองอย่างเต็มตัว ซึ่งก็คือ บริษัท เดอะ พร็อพเพอร์ตี้ เอ.จำกัด ดำเนินธุรกิจบริหารการขาย การตลาดโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ทางอสังหาริมทรัพย์ จนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลา 18 ปี ภายใต้คอนเซ็ปต์ “360° Real Estate Solution” จากผลงานกว่า 30 โครงการ ที่ได้รับความไว้วางใจทั้งโครงการขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่  โครงการที่พักอาศัย หรือ โฮมออฟฟิศ ด้วยการทำงานที่ใส่ใจ ดูแลตั้งแต่เริ่มโครงการจนโอนกรรมสิทธิ์จบโครงการ มีทีมงานร่วมการวางแผนกลยุทธ์การขายให้คำปรึกษาทางด้านการตลาดและโฆษณากับเจ้าของโครงการ 

“จากความสำเร็จของ 18 ปี แห่งความสำเร็จ ด้วยแนวทางการให้บริการ “360° Real Estate Solution” คือการบริการแบบ 360 องศา ครบวงจรในทุกขั้นตอนของอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2567 นี้ เราจึงได้วางแผนดำเนินงานของบริษัทฯ ที่จะรุกตลาดเดิมที่เราทำสำเร็จมาตลอด คือ การบริหารการขาย และการตลาดอสังหาริมทรัพย์โครงการใหม่ และบริการที่ปรึกษาการตลาด และบริหารขาย” นางพรพิไร กล่าว

ปัจจุบันบริหาร 13 โครงการ มูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาท

โดยโครงการที่ทางเดอะ พร็อพเพอร์ตี้ เอ.บริหารอยู่ในปัจจุบัน มีจำนวน 13 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,500 ล้านบาท เป็นโครงการที่เข้าบริหารงานขายตั้งแต่ปี 2566 จำนวน 11 โครงการ และโครงการใหม่ที่เพิ่งเข้าบริหารในปี 2567 อีก 2 โครงการ  ได้แก่ โครงการ The Wealth Luxury Klong 9, Noble Above Wireless – Ruamrudee ปัจจุบันเหลือขาย 3 ยูนิต จากทั้งหมด 38 ยูนิต ที่กองทุนซึ่งเป็นลูกค้าซื้อมาจาก บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)ในราคายูนิตละ 9 ล้านบาทขึ้นไป, แอสโทเรีย พหลโยธิน-ลำลูกกา,  ภูผาธารา เขาใหญ่, Casa Vacanza Khao Yai เขาใหญ่ ราคา 13-40 ล้านบาท , รีวา พูลวิลล่า ชะอำ จ.เพชรบุรี จำนวน 150 กว่าหลัง จากทั้งหมดกว่า 170 กว่าหลัง ซึ่งเจ้าของโครงการปิดการขายบางส่วนไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยราคาอยู่ที่ประมาณ 7-11 ล้านบาท , บ้านบุญยกร เลค พาร์ค รังสิต คลอง 6 จ.ปทุมธานี, อากาศ วิลล่า เขาใหญ่  อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา พัฒนาในรูปแบบของคอนโดฯ 1-2 ชั้น ขนาด 79-205 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 11.8-32 ล้านบาท จำนวน 23 ยูนิต ปัจจุบันเหลือการขายเพียง 5 ยูนิตเท่านั้น และลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนไทย ที่ซื้อด้วยเงินสดทั้งหมด , บ้านร็อคการ์เด้น สุวินทวงศ์ - อยู่วิทยา, คาราเพซ หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์, The Ville Express พหลโยธิน, อาร์ท@ทองหล่อ ซอยทองหล่อ 25, Parc Residence at Phahol 67 ซ.พหลโยธิน 67  กรุงเทพฯ เป็นต้น

 

โดยขอบข่ายการทำงาน ตั้งแต่เริ่มวาง Concept จนถึงกระบวนการขาย / ตรวจรับมอบ / ประสานสินเชื่อกับสถาบันการเงิน จนกระทั่งการโอนกรรมสิทธิ์ ด้วยทีมงานมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ทางอสังหาริมทรัพย์มากว่า 18 ปี เป็นเครื่องพิสูจน์จากผลงานประมาณ 32 โครงการ ทั้งแนวราบและแนวสูง โดยสามารถจัดการดูแลบริหารเพิ่มยอดขายและการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการวิเคราะห์และศึกษาความเป็นไปได้ของตลาดและจัดทำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ ให้คำปรึกษาและแนะนำการพัฒนาโครงการให้ตรงตามความต้องการของเจ้าของโครงการ วางแผนกลยุทธ์การขายและการตั้งราคาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย จัดหาทีมงานขายที่มีประสบการณ์แบบมืออาชีพ รวมถึง รายงานผลจากการบริหารงานขายโครงการอย่างต่อเนื่อง มีการเสนอแผนด้านการตลาดร่วมและการใช้สื่อโฆษณาอย่างมีประสิทธิภาพแก่โครงการ ด้วยการดำเนินกิจกรรมทางการตลาด ทั้ง Online สื่อดิจิทัลต่างๆ และ Offline ผ่านสื่อต่าง ๆ พร้อมกิจกรรมเพื่อกระตุ้นยอดขาย เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และเพื่อให้ปิดการขายโครงการได้อย่างรวดเร็ว

“ตั้งแต่บริหารงานขายมา พบว่าในทำเลพื้นที่กทม.จะขึ้นอยู่กับ ทำเล ทำเล และทำเล ส่วนโครงการตามหัวเมืองท่องเที่ยว ยอมรับว่าภูเก็ตจะเป็นอันดับ 1 แต่บริษัทฯจะไม่มีความชำนาญตลาดในพื้นที่ดังกล่าว จึงไม่ไปรับบริหารโครงการ แต่จะเน้นในพื้นที่ชะอำ หัวหิน ปากช่อง และเขาใหญ่  โดยจะทราบดีว่าช่วงระยะเวลาไหนเหมาะสมสำหรับการขายที่อยู่อาศัย และกลุ่มเป้าหมายเป็นใคร” นางพรพิไร กล่าว

 

สบช่องขยายไลน์ธุรกิจ “ขายทรัพย์มือสอง”

นางพรพิไร กล่าวเพิ่มเติมว่า จากวิกฤติโควิด-19 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลให้มีบ้านมือสองออกมาสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก และเป็นตลาดที่ใหญ่มาก แต่การที่จะระบายออกสู่ผู้บริโภคนั้น คงต้องใช้ระยะเวลาอีกนานหลายปี ประกอบกับในปี 2567 ภาพรวมตลาดอสังหาฯมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวด้วย  ดังนั้นเพื่อเป็นการดำเนินงานให้ตรงกับคอนเซ็ปต์ “360° Real Estate Solution” ในปี 2567 นี้ จึงได้เตรียมเสริมศักยภาพของทีมงานในการขยายไลน์ไปสู่บริการด้านการขายทรัพย์มือสองอย่างจริงจัง เพื่อบริหารงานได้ครบวงจรและเสริมรายได้เพิ่ม โดยระยะแรกจะเน้นบ้านเดี่ยว โฮมออฟฟิศ และคอนโดมิเนียม ระดับกลาง-บน ราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป ในทำเลย่านซีบีดี ก่อน ได้แก่ สุขุมวิท,พหลโยธิน,สาทร,พระราม9 และขยายไปย่านพัฒนาการ เป็นต้น

และเพื่อให้การบริหารงานดังกล่าวประสบความสำเร็จมากขึ้น จึงมีแผนที่จะดีลกับพันธมิตร ที่เป็นกลุ่มโบรกเกอร์ ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งขณะนี้มีรายชื่ออยู่พอสมควร คาดว่าจะมีการจัดงานเพื่อพบปะกับพันธมิตรดังกล่าวในช่วงหลังเทศกลางสงกรานต์ เมษายน 2567 นี้ โดยคาดว่าจนถึงปลายปีนี้จะมีบ้านมือสองเข้ามาบริหารไม่ต่ำกว่า 100 ยูนิต

ตั้งเป้ายอดขายรวมปีมังกรแตะ 2,000 ล้านบาท

“จากแผนการดำเนินงานที่วางไว้ กับโครงการที่รับบริหารในมือแล้ว และที่จะเพิ่มเข้ามาใหม่ในอนาคตคือ การวางแผนขยายไลน์ธุรกิจเข้าสู่การทำตลาดขายทรัพย์มือสองอย่างจริงจังที่เรามองว่า จะมีทรัพย์เข้าสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้นเป็นจำนวนมาก และมองว่าการขายทรัพย์มือสองนั้น จะขายยากกว่ามือ 1 เพราะมีบ้านมือสองทางเลือกอื่นเพิ่ม เพื่อให้ลูกค้าเผื่อเลือก แต่ก็ยังไม่สามารถระบายออกได้มากเท่าที่ควร และมาตรการของรัฐที่ส่งเสริมเรื่องค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองของทรัพย์มือสอง ที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ก็จะมีส่วนช่วยผลักดันด้วยส่วนหนึ่ง โดยในปี 2567นี้ เราตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะสร้างยอดขายรวมได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตกว่า 10%” นางพรพิไร กล่าวในที่สุด

You can share this post!